update เที่ยวเกาะเต่า + full moon party เกาะพะงัน (2014)
สืบเนื่องจากเมื่อ 5 ปีก่อนผมไปเที่ยว full moon party เกาะพะงันครั้งแรกแล้วเขียน post เอาไว้ในชื่อ “ตัวคนเดียว-เที่ยวพะงัน-วันฟูลมูน”
ปรากฏว่ามันเป็น top post 10 อันดับแรกตลอดกาลของ blog นี้ไปเลย ผู้เขียนก็เลยอยากจะมาอัพเดทเล็ก ๆ น้อย ๆ เผื่อจะเป็นประโยชน์แก่คนที่สนใจจะไป
(ของเก่าจะมี 4 ตอน ใครสนใจคลิกไปอ่านกันได้เลยฮะ (1) (2) (3) (4) )
อารัมภบทกันนิดหน่อย ทีแรกเราไม่ได้ตั้งใจจะไปเกาะพะงันอีกเลย ตั้งใจจะไปเกาะเต่าอย่างเดียว (ไปมาแล้ว 2 ครั้ง ติดใจ ตั้งใจจะไปถ่ายรูปใต้น้ำที่เกาะนางยวนโดยเฉพาะ) ทีนี้เนื่องด้วยวันหยุดยาวสงกรานต์ปีนี้ดันตรงกับ full moon party พอดี บวกกับได้แรงยุจากเพื่อนสนิทที่พาคุณแฟนไปเที่ยวเกาะพะงันและชวนเราไปด้วย ก็เลยมีการวางแผนว่าจะไปพักที่เกาะเต่า 2 วัน ต่อด้วยเกาะพะงันอีก 2 วัน
ที่เกาะเต่าเราไปพักที่เดิมคือ “หาดทรายรี” ซึ่งเรารักมาก (เพราะมันชิล ๆ หาดสวย อยู่ใกล้เกาะนางยวน และตอนกลางคืนก็คึกคักดี เข้าทางเรา) ส่วนที่พักก็เลือกที่เดิมคือ SBC Resort ซึ่งอยู่ใกล้หาด ราคาไม่แพง และพนักงานอัธยาศัยดี แต่เที่ยวนี้ไปปรากฏว่าข้าวของราคาแพงขึ้นพอสมควรเลย ที่พักจะขึ้นจากเดิมห้อง 100-200 บาท ข้าวก็จะแพงขึ้นอีก 10-20 บาท
เที่ยวนี้เราเตรียมกล้องกันน้ำไปดิบดี แต่ปรากฏว่าพอเอามันมาใช้ใต้น้ำจริง ๆ ตอนแรกก็รวน ๆ ไปเหมือนกันนะ (เล่นเอาหงุดหงิดเลยล่ะ) โชคดีที่ตอนไปเกาะนางยวนกล้องเริ่มจะกลับมาใช้การได้ (แต่ก็ยังแอบรวนอยู่ดี) คือคราวที่แล้วเราใช้กล้องธรรมดาแล้วห่อด้วยซองกันน้ำ dri-dock ซึ่งมันก็กันน้ำได้จริงนะ แต่เนื่องด้วยเราถอดเข้าถอดออกบ่อย กล้องมันก็เลยเจ๊ง T__T (แต่โชคดีที่ memory card ยังใช้ได้) เที่ยวนี้ก็เลยซื้อกล้องกันน้ำไปโดยเฉพาะเลย พอเห็นรูปที่ถ่ายออกมาแล้วก็กรี๊ดสลบจริง ๆ รู้สึกว่าคุ้มค่าที่ซื้อมันมา (ขนาดกล้องเราเป็นรุ่นกาก ๆ นะ รูปยังออกมาดูดี ถ้ารุ่นเทพ ๆ นี่รูปคงจะออกมาเริดมาก) ระหว่างดำผุดดำว่าย ด้วยความประมาทก็ทำมือถือตัวเองหล่นหายกลางทะเล ทีแรกทำใจว่าหายแน่ ๆ แต่ปรากฏว่าโชคดีมากที่มีน้องคนไทยใจดีเก็บให้ แถมยังอุตส่าห์ช่วยตามคืนให้อีก ดีใจจนไม่รู้จะขอบคุณยังไง ^ ^
( อัลบั้มรูปใต้น้ำเกาะนางยวน + เกาะเต่า -> https://www.facebook.com/media/set/?set=a.10151960284360807.1073741902.613465806&type=1&l=c47c0736c6 )
วันสุดท้ายที่อยู่เกาะเต่าพอดีบนเกาะมีปาร์ตี้สงกรานต์ด้วย ความมันระดับน้อง ๆ full moon party ของเกาะพะงันเลยแหละ (ส่วนตัวเราชอบ party ที่เกาะเต่ามากกว่านะ สนุกสนานอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ คนไม่เยอะจนเกินไป โอกาสในการคุยหาเพื่อนหรือจีบสาวก็เวิร์กกว่ากันเยอะ แล้วมันมีให้เลือกหลายแบบ ใครจะแดนซ์ ใครจะนั่งฟังเพลงชิล ๆ ที่นี่มีหมด)
สำหรับเกาะเต่า ทริปนี้เป็นครั้งที่ 3 ของเราแล้ว และถ้ามีเวลา+มีตังค์ ก็ยังจะไปอีกเรื่อย ๆ เพราะมันชิลได้ใจจริง ๆ (เที่ยวหน้าอาจไปเก็บเกาะสมุย หรือไม่ก็ไปหมู่เกาะสุรินทร์ซะเลย เห็นคนถ่ายรูปใต้น้ำมาสวยเว่อร์มาก)
—————————-
ตัดจบเรื่องเกาะเต่าดื้อ ๆ 555 แล้วมาต่อด้วยเรื่องเกาะพะงันทันที
ก่อนอื่นต้องขอเตือนว่า ใครที่จะเดินทางไปในช่วง full moon party หรือช่วงเทศกาลทั้งหลายแหล่ ควรจะจองตั๋วเดินทางล่วงหน้าไว้เลย ไม่งั้นทั่นจะมีปัญหาแน่ ๆ ขนาดเราจองล่วงหน้า ขาไปต้องไปรอคิวยาวเหยียดร่วมชั่วโมง ตอนจะกลับก็เกือบมีปัญหากับการจอง คนบ่นกันเยอะมาก (แล้วปกติบริการเรือ+รถย่านนี้ก็มั่วนิด ๆ อยู่แล้ว พอเจอช่วง full moon เข้าไป ความมั่วซั่วจะคูณ 10 ฮ่า ๆ ๆ)
ทีแรกเราตั้งใจจะไปพักที่ “หาดยาว” ตามเพื่อน (เที่ยวที่แล้วเราก็พักที่หาดยาวจนจบเลย) แต่พอดีเนื่องด้วยอารมณ์เพลีย ๆ บวกกับอยากลองของ ครั้งนี้ก็เลยเดินดุ่ย ๆ หาที่พักแถวท่าเรือท้องศาลาซะเลย (เรามองในแง่ความสะดวก และอยากเช่ามอเตอร์ไซค์ไว ๆ ด้วย) โชคดีได้ที่พักราคาถูก “Asia Hotel” ห้องแอร์แค่ 500 บาทเอง (ก็โอเคนะ แต่เนื่องด้วยราคาถูก ห้องน้ำห้องท่าก็อาจจะใช้การยากนิดหนึ่ง เช่น ประตูปิดลำบาก ต้องกระแทกเอา หรือชักโครกแบบเชือกรอก 555)
เสร็จแล้วเราก็ไปหาร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ ไปได้ที่ร้าน Kate เจ้าของใจดีมาก ค่าเช่า Honda click วันละ 150 บ. (มัดจำ 2,000 บ.)
จากนั้นก็แว้นรอบเกาะ (ครั้งแรกที่มาเกาะพะงันเมื่อ 5 ปีก่อนเรายังขี่มอไซค์ไม่เป็นเลย เดินลูกเดียว วันละเป็นสิบกิโลฯ ตอนนั้นเลยกลับมาหัด+ไปสอบใบขับขี่ แล้วก็ไปประเดิมแว้นที่เกาะเต่า) เพราะว่ามีมอเตอร์ไซค์เราก็เลยไปได้หลายที่ วันแรกไปเซอร์เวย์หาดริ้นก่อน เสร็จแล้วไปแวะน้ำตกแพงน้อย ไปเยี่ยมเพื่อนที่หาดยาว แล้วกลับมาที่พัก ก่อนจะขี่ไปงาน full moon ที่หาดริ้นอีกที (แต่สำหรับใครที่ขี่มอไซค์ไม่แข็ง เราขอเตือนว่าอย่าเสี่ยงเลย เพราะบนเกาะพะงันทางมันค่อนข้างอันตราย มีทางลาดชันเยอะ โค้งเยอะ และป้ายบอกทางก็ไม่ค่อยมี บางทียอมเสียเงินเพิ่มใช้บริการรถ taxi หรือสองแถวเอาดีกว่า เพื่อสวัสดิภาพของตัวทั่นเอง)
มาถึงช่วงของ Full Moon Party แล้วจ๊ะ…
ขอเล่าแบบสรุปย่อ ๆ เลยแล้วกันนะ คราวที่แล้วเราก็ไม่ค่อยประทับใจกับมันอยู่แล้ว เที่ยวนี้นี่ยิ่งผิดหวังสุด ๆ เลย -_- (ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะแก่ขึ้นอีก 5 ปีด้วย 555)
เที่ยวที่แล้วเรามาปักหลักอยู่ก่อน 2-3 วันไง แล้วไปอยู่ในรีสอร์ตแถว ๆ หาดยาวด้วย มันก็เลยมีเวลา make friends ทำความรู้จักผู้คนก่อน แต่เที่ยวนี้มันออกแนว “ข้ามาคนเดียว เปล่าเปลี่ยวเอกา” จริง ๆ
สำหรับบรรยากาศของครั้งนี้กับครั้งก่อนมันมีทั้งความเหมือนและความต่างนะ…
ความเหมือน
– ร้านเดิม ๆ แนวเพลงเดิม ๆ แทบไม่เปลี่ยนไปเลย (และยังเต้นกันลืมตายแบบ non-stop เหมือนเดิม)
– บรรยากาศโดยรวมแทบจะเหมือนเดิม
– ค่าเข้าเท่าเดิม 100 บาท / ค่าเครื่องดื่ม bucket หรือเบียร์ ก็ไม่ได้ขึ้นจนน่าเกลียด (ราคาพอ ๆ กับที่ข้าวสารใน กทม.)
– ตอนตี 2-3 มีพรายทะเลอาละวาดอยู่เป็นคู่ ๆ ตามริมหาดเช่นเคย :p 55555
– หลายคนเมารั่วเหมือนเดิม
– ฝรั่งเยอะเหมือนเดิม
ความต่าง
– คนเยอะขึ้นมาก จนเราว่ามันทำให้งานกร่อยนะ (5 ปีก่อนเราไปมันก็เริ่ม mass จัดแล้ว ตอนนี้กลายเป็น super mass ไปเลย) คราวก่อนช่วงตี 2-3 คนก็เริ่มซาแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ตี 2-3 คนยังยืนออเต้นกันให้ควั่กอยู่เลย
– ไม่รู้คิดไปเองป่าวนะ? อาจจะเพราะด้วยคนเยอะขึ้น มันก็เลยดูเหมือนว่าจะปลอดภัยขึ้น เพราะบรรยากาศเปลี่ยวน้อยลง มีคนเป็นหูเป็นตามากขึ้น (แต่โซนที่คนออกันเยอะ ๆ ถ้าทั่นไม่ระวังตัว โดยเฉพาะคุณสาว ๆ ก็อาจจะตกล่องปล่องชิ้งกันเอาได้ 555)
– คราวก่อนไป คนเอเชียยังน้อย ๆ นะ เที่ยวนี้หนุ่มสาวเอเชียเยอะขึ้นมาก โดยเฉพาะสาว ๆ นี่แจ่มเยอะเลยเชียว ทั้งเกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน จีน (เที่ยวนี้ผมเจอสาวเกาหลีฮ็อตฝุด ๆ น่าจะติด TOP5 ของงานเลย เสียดายแห้ว T_T 5555)
– beach boy ก็เยอะขึ้นมากจนน่าตกใจ! (คราวก่อนผมเห็นเป็นสิบ ๆ เที่ยวนี้ผมเจอเป็นกองทัพเลย 5555)
– พอตกดึก….. เฮ้ย!! พบพรายทะเลประกอบกิจกรรมกันริมหาดหรือในทะเลเยอะมากจนน่าตกใจ!! 555 (แล้วมันฮาตรงที่เหมือนมันกลายเป็นเรื่องธรรมด๊าธรรมดาของงานนี้ไปโดยปริยาย เรียกว่าไม่ต้องไปซื้อหนังแผ่นหรือโหลดบิต ก็ได้ดูเลิฟซีนกันจนตาแฉะ เอิ๊ก ๆ ๆ)
– เรื่องฮาที่เกิดกับตัวเองแล้วขำไม่ค่อยออก -_- คือเนื่องด้วยเราไปดำสนอร์เกิลจนตัวดำเป็นเหนี่ยง(เนียนกับ beach boy แถวนั้นมาก 555) อยู่ดี ๆ ก็มีสาวไทยเข้ามาคุยภาษาอังกฤษถามหา “เห็ดเมา” กับเราเฉยเลย 5555 เราก็ยิงมุกไปขำ ๆ พูดภาษาไทยว่า “อ๋อ คนไทยเหมือนกันครับ” she ตอบกลับมาว่า “I don’t understand, I’m not Thai.” 555555555555
ส่วนตัวก็ยังยืนยันเหมือนเดิม ถ้าจะ party อ่ะนะ เราว่าใน กทม. มันกว่าเยอะอ่ะ (หรือเกาะเต่าก็เข้ากับแนวเรามากกว่า) เราไม่ค่อย enjoy กับ full moon party เท่าไหร่เลย คราวก่อนเราอยู่ยันเช้านู่น คราวนี้อยากจะกลับตั้งแต่ตี 1 แล้ว แต่กล้า ๆ กลัว ๆ เพราะเดี๋ยวขี่มอไซค์ไปเจอด่าน เป่าไม่ผ่านแน่ ๆ 555 เลยรอจนตี 3 ค่อยขี่กลับ (แสส… น่ากลัวยิ่งกว่าเดิมอีก! 555) แต่ก็ขี่กลับมาถึงที่พักได้อย่างปลอดภัยนะ (อันนี้แนะนำเลยจริง ๆ ใครจะมา full moon พยายามจองที่พักแถว ๆ หาดริ้นให้ได้ จะได้ไปกลับได้สะดวก หรือถ้าพักไกล ๆ เรียกสองแถวเอาดีกว่า มีรถตลอดคืนแน่นอน)
แต่อย่างว่า… มันก็ลางเนื้อชอบลางยาอ่ะแหละ ถ้าคนที่ลุย ๆ หน่อย กำลังวังชาดี ๆ เป็นขาแดนซ์ ทั่นอาจจะชอบปาร์ตี้แบบสุดเหวี่ยงของเกาะพะงันก็ได้ (ส่วนตัวเราก็ชอบเต้นนะ แต่ไอ้เต้นแบบว่า non-stop สี่ซ้าห้าชั่วโมง เราว่ามันโหดไปสำหรับเราอ่ะ อีกอย่างเราแก่ขึ้นเยอะแล้วด้วย สังขารไม่ให้ >< 5555)
สำหรับใครที่อยากไปเปิดหูเปิดตา เราว่าก็โอเคอ่ะนะ ไปกับแฟน ไปกับเพื่อน ๆ ดื่มแต่พอดี แล้วอย่ากลับให้มันดึกมาก กลับสักเที่ยงคืนกำลังดี (เหมือนเพื่อนเราที่ไปกับแฟน ก็กลับช่วง ๆ นั้น) ถ้าดูแลตัวเองดี ๆ แล้วก็ไม่นำพาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์เสี่ยง ๆ เราว่ามันก็ไม่น่าจะมีอะไรหรอก
—————————
วันรองสุดท้ายบนเกาะพะงัน
วันนี้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับเรา….
เพราะเพื่อนเชียร์ว่า “หาดท้องนายปาน” สวยมาก และเราก็ได้ถามเพื่อความชัวร์กับเจ้าของโรงแรมว่า “ถ้าผมจะขี่รถไปนี่ พอไหวไหม?” ซึ่งเจ้าของตอบว่าได้ เราก็เลยไปเช่ารถต่ออีกวัน ตอนขาไปก็ไม่มีอะไรหรอก แต่เส้นทางมันไกลมาก แล้วป้ายบอกทางก็ไม่ค่อยจะมี(หรือไม่มีในจุดที่ควรจะมี) ถนนก็ทั้งชัน แถมกำลังทำถนนอีกต่างหาก มันก็เลยเป็นการเดินทางที่หฤโหดเอาเรื่อง (แต่ในแง่ดีก็คือ ถ้าทำถนนเสร็จเมื่อไหร่ ต่อไปเวลาใครจะขับขี่รถไปหาดท้องนายปานจะสะดวกขึ้นมากเลย ผมเข้าใจว่าถ้าเป็นเมื่อก่อนเส้นทางที่นี่น่าจะโหดสุด ๆ บนเกาะพะงันแล้ว คงพอ ๆ กับทางไปหาดสลัดบนแถบตะวันตกเฉียงเหนือเลย) พอไปถึงน้ำมันที่เติมมาเต็มถังเมื่อวันก่อนพร่องลงมาเหลือ 1 ใน 4 เลยแหละ (ระยะทางร่วม 30 กม. ได้) หาดท้องนายปานก็สวยดีนะ แต่เราว่าหาดยาวก็สวยไม่แพ้กันสักเท่าไหร่ เพียงแต่หาดท้องนายปานจะดูไฮโซกว่า เป็นส่วนตัวมากกว่า
ทีนี้มันไปมีเรื่องเอาตอนขากลับน่ะสิ! T__T
ปกติเราเป็นคนขี่มอไซค์ไปแบบเรื่อย ๆ เพราะเรากลัวอุบัติเหตุ ถ้าเป็นเขตเมืองเราจะขี่แค่ 20-30 km/h ถ้าเวลาถนนโล่ง ๆ บิดอย่างมากก็ 50-60 km/h ทีนี้อยู่ ๆ ฝนก็ดันตกขึ้นมา แถมยังตกหนักเสียด้วยสิ!
เราขี่ไปได้สักพัก เห็นว่าท่าไม่ดี ก็เลยแวะพักศาลาข้างทาง (เพราะว่าฝนมันสาดเข้าหน้าเข้าตา แถมไม่มีหมวกกันน็อค และไม่มีแจ็คเก็ตด้วย) ทีแรกก็ตั้งใจจะรอให้ฝนหยุดก่อนเพราะเข้าใจว่าสภาพอากาศบนเกาะเวลาฝนตกก็คงตกแค่แป๊บ ๆ แต่ผิดคาดปรากฏว่าฝนตกนานมาก ด้วยความใจร้อนนั่งพักไปได้สัก 20-30 นาทีแล้วแต่ฝนก็ยังไม่ยอมหยุดตก เราก็เลยตัดสินใจขี่ต่อไปท่ามกลางสายฝน
เรื่องมันคงจะจบแบบ happy ending ถ้าเราขี่ไปถูกทาง แต่ว่า… พอมาถึงทางแยกจะไปท้องศาลาแล้ว ดันไม่มีป้ายบอกทางซะงั้น! จะถามชาวบ้านฝนก็ดันตกอีก เราก็เลยตัดสินใจเลี้ยวไปทางขวา ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดมาก เพราะถ้าไปถูกทางมันก็จะเป็นทางเรียบ ๆ ขี่ไปอีกสัก 10 นาทีก็คงจะถึงที่พัก แต่พอขี่ไปผิดทางมันดันกลับกลายเป็นทางอ้อม เป็นเส้นทางที่ลาดชันมาก และเนื่องด้วยถนนลื่นมากรถเราก็เลยเสียหลักล้มบนเนินขาลง โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมากทั้งรถทั้งคน (รถมอเตอร์ไซค์กระจกมองขวาแตก ด้านขวารถถลอกปอกเปิกบ้าง ส่วนเราได้แผลมา 3-4 แผล ทำเอาใจเสียเลยแหละ) เราจอดรถพักสัก 10 นาที แล้วบนทางลาดชันแถมฝนตกอ่ะนะ แค่จะจอดรถข้างทางก็ยังลำบากเลย (ตลกร้ายคือคนทำถนนดันทำไหล่ทางด้วยหิน ซึ่งเวลาโดนน้ำแล้วมันจะลื่นไถล) หลังจากนั้นเราก็ขี่ฝ่าสายฝนต่อไปแบบช้าสุด ๆ มันเป็นบทเรียนที่เราจะจำไปจนวันตายเลยแหละ… ต่อไปนี้จะไม่ประมาทอีกแล้ว ถ้าฝนตกจะไม่ขี่มอเตอร์ไซค์อีกเด็ดขาด (อาจจะว่าเราพาลหรือรำไม่ดีโทษปี่โทษกลองก็ได้ เราว่าเดี๋ยวนี้ที่เกาะพะงันพัฒนามาก มีห้างผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ทั้งแม็คโคร โลตัส บิ๊กซี แต่ป้ายบอกทางในจุดที่ควรจะมีก็ดันไม่มีเสียนี่ แล้วเส้นทางบางเส้นถ้าหลงเข้าไปนี่ นอกจากจะเจอทางชัน ๆ แล้ว ถ้าใครที่มีน้ำมันเหลืออยู่น้อย ๆ แล้วไปรถดับอยู่กลางทางตามป่าเขา ท่านอาจจะต้องติดแหงก หรือเข็นรถไปหาที่เติมน้ำมันอีกไกลเลยก็ได้)
สุดท้ายแล้วแผนการวันนั้นเสียหมด ทีแรกตั้งใจจะไปนอนอาบแดดและว่ายน้ำที่หาดยาว ก็ต้องยกเลิก เพราะพึ่งเจออุบัติเหตุมามันก็ไม่มีกะจิตกะใจจะไปแล้วล่ะ อีกอย่างรู้สึกผิดที่ไปเช่ามอเตอร์ไซค์เขามาแล้วเอารถเขาไปทำล้ม พอกลับถึงที่พัก อาบน้ำเสร็จ ก็รีบเอารถไปคืนที่ร้านเลย เราก็ยินดีชดใช้ให้ตามที่ร้านเห็นสมควร ซึ่งเราต้องบอกเลยว่าทางร้านใจดีและแฟร์มาก แน่นอนว่าถ้าของเขาเสีย เขาก็ต้องเรียกร้องค่าเสียหายเป็นธรรมดา แต่เรามองออกถึงท่าทีที่เขาเป็นห่วงเป็นใยคนเช่ารถอย่างเรา และทำให้เราเข้าใจหัวอกคนที่ทำธุรกิจสายนี้มากขึ้น (บางทีเวลาเราจะไปเช่ารถ เรามักชอบมองร้านที่เรียกค่ามัดจำแพง ๆ ว่าเคี่ยวบ้าง อะไรบ้าง แต่ถ้าเราไม่มาเปิดร้านเอง หรือเจอเรื่องพรรค์นี้เองก็คงจะไม่เข้าใจหรอก)
การมาเกาะพะงันที่กร่อยเที่ยวนี้ ก็เลยยิ่งกร่อยเข้าไปใหญ่ T__T
แถมการเลือกที่พักแถว ๆ ท้องศาลาก็อาจจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดนิด ๆ เพราะถึงที่นี่จะใกล้ท่าเรือ และเพิ่งจะ 1 วันหลังงาน full moon แต่ปรากฏว่าร้านรวงที่นี่ค่อนข้างจะเงียบเหงา ที่พอจะคึกคักหน่อยก็คือที่ “ตลาด” ที่มีนักท่องเที่ยวแวะมากินดื่มกันไม่ขาดสาย และของกินที่นี่ก็ราคาไม่แพงด้วย
หลังจากนั้น 4-5 ทุ่ม เราก็กลับที่พัก เข้านอน เตรียมตัวกลับ กทม. แล้ว (ตอนเช้าอีกวันเกือบซวย อยู่ ๆ ทำตั๋วเรือหายระหว่างเดินไปท่าเรือ แต่โชคดีที่ซื้อกับออฟฟิศใกล้ ๆ ท่าเรือ เลยแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าได้ ต้องบอกว่าทริปนี้ดวงแข็งจริงๆ แคล้วคลาด 3 ครั้ง 3 ครา T__T)
ปล1. เราเอาเลขทะเบียนรถมอไซค์เช่าไปซื้อล็อตเตอรี่ ปรากฏว่าถูกรางวัลซะด้วยสิ เรียกว่าจ่ายค่ามัดจำไปเท่าไหร่ก็ได้คืนมาเท่านั้นเลยแหละ (จะว่าโชคดีในโชคร้าย หรือ ทุกขลาภ ก็ว่าได้นะ)
ปล2. ถ้าคิดบวก อย่างน้อยทริปนี้เราก็สามารถเก็บเกาะพะงันได้เกือบครบทั้งเกาะแล้ว จากคราวที่แล้วเราได้ไปตะลุยแค่ฝั่งตะวันตก เที่ยวนี้เราได้ตระเวนฝั่งตะวันออกด้วย(หาดท้องนายปาน) แถมที่เที่ยวน้ำตกเอย อะไรเอย เราก็ได้ไปสำรวจมาแทบทุกที่ ก็แทบจะไม่มีอะไรค้างคาใจกับเกาะนี้อีกแล้ว (ถ้าจะค้างก็คงเป็น full moon party ที่ไม่เคยได้สุดกับเขาสักที :p 5555)
( อัลบั้มรูป “เกาะพะงัน” -> https://www.facebook.com/media/set/?set=a.10151967463180807.1073741904.613465806&type=1&l=1f1f6b3983 )
ใส่ความเห็น